ซึ่งพอจะสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
การซื้ออาคารชุดของชาวต่างชาตินั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตราต่างประเทศเสมอไป (เงินต่างประเทศ จะต้องมีหลักฐานการนำเงินตราต่างประเทศ) หรือจะซื้ออาคารชุดด้วยเงินบาทก็สามารถทำได้ แต่ว่าจะต้องเป็นเงินบาทที่ถูกถอนออกมาจากบัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเท่านั้น (NRBA ย่อมาจาก Non-Resident Baht Account) ซึ่งจะต้องมีหนังสือรับรองของสถาบันการเงินที่รับรองว่าคนต่างชาติผู้นั้น ได้ถอนเงินบาทจากบัญชี NRBA จริง เพื่อเอาไปแสดงเป็นหลักฐานในวันจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดกับสำนักงานที่ดิน
ส่วนกรณีที่ชาวต่างชาติ ซื้ออาคารชุดแล้วต้องการขายต่อให้บุคคลอื่น ชาวต่างชาติคนนั้นจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย รวมทั้งภาษีธุรกิจเฉพาะ (แต่หากมีชื่อปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้านเกินกว่า 1 ปี หรือรับโอนอาคารชุดมา เกินกว่า 5 ปีจะได้รับการยกเว้นในส่วนของภาษีธุรกิจเฉพาะ) ค่าธรรมเนียมโอนที่ดิน ในวันที่จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ห้องชุด ณ สำนักงานที่ดิน และเนื่องจากเป็นการขายอสังหา ริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ชาวต่างชาติผู้นั้นยังมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 94 -กลางปี, ภ.ง.ด. 90 -ปลายปี) ต่อกรมสรรพากรอีก สำหรับปีภาษีนั้น ๆ โดยสามารถนำภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ในวันจดทะเบียนโอนขายอาคารชุดมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่จะต้องเสียทั้งสิ้น
และภายหลังหากชาวต่างชาติผู้นั้น ต้องการจะโอนเงินออกจากการขายอาคารชุดออกไปต่างประเทศ ก็จะไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ อีกแล้ว แต่ว่าเงินที่ขายอาคารชุดได้จะเป็นเงินบาทและถูกฝากเข้าไปที่บัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ฉะนั้น เวลาที่จะโอนเงินตราออกไปต่างประเทศ ก็ต้องขออนุญาตซื้อเงินตราต่างประเทศ เพื่อโอน ออกไป ซึ่งชาวต่างชาติสามารถขอซื้อเงินต่างประเทศเพื่อโอนออกไปได้โดยไม่จำกัดวงเงิน ในกรณีที่เป็นการส่งเงินออมของชาวชาติที่ทำงานในไทยออกไป หรือเป็นการส่งเงินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติออกไป กรณีนี้ก็ใช้หลักฐาน เช่น สำเนาพาสปอร์ตของชาวต่างชาติ สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายอาคารชุดฉบับที่จดทะเบียนโอนของสำนักงานที่ดิน ฯลฯ.
ขอคุณบทความที่เป็นประโยชน์
ดินสอพอง>>เดลินิวส์